เมื่อเวลาพูดถึงศิลปิน โดยเฉพาะกลุ่มไอดอลสาว สิ่งหนึ่งตามมาเสียยิ่งกว่าเงาคือ “ดราม่า” ที่เกิดขึ้นตามช่องคอมเมนต์ในเพจ Facebook, คลิปใน Youtube หรือแม้แต่ที่รูปโปรไฟล์ของศิลปินคนนั้น
คนไทยดราม่าได้ทุกเรื่อง ทั้งความสามารถ เสียงร้อง ท่าเต้น ยันเสื้อผ้าหน้าผม พูดง่าย ๆ คือไม่ว่าจะทำอะไรก็เกิดประเด็นได้ทั้งนั้น ที่สำคัญกลุ่มแฟนคลับที่ออกปกป้องสุดตัวและหัวใจ หลาย ๆ ครั้งพวกเขาก็ร่วมก่อเหตุดราม่าไปด้วย ไป ๆมา ๆ สุดท้ายเถียงไปด้วยประเด็นอะไรไม่มีใครสนใจแล้ว กลายเป็นสาดคำด่าใส่กันซะงั้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครเลย
ก่อนอื่นแนะนำให้ทำใจว่า วิกิพีเดียรวบรวมอคติของคนบนโลกไว้ถึง 175 แบบ ดังนั้นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเราเขาจะลำเอียงไม่ใช่เรื่องแปลก เราเองอาจเป็นเช่นเดียวกัน ขอให้ให้เกียรติกันและกันนะ
Paul Graham ผู้ก่อตั้งบริษัท Y Combinator ที่สนับสนุนทุนให้ธุรกิจสตาร์ทอัพมากกว่า 1,500 แห่ง ได้เขียนบทความ ‘How to disagree’ ไว้ในปี 2018 โดยอธิบายระดับของการโต้แย้งไว้ 7 ระดับ ซึ่งเราจะใช้อธิบายให้เห็นภาพ
- Name-calling คือ การให้คำจำกัดความผู้อื่น แปะป้ายให้เขาเป็นอย่างที่เราคิด เหล่านี้เป็นประโยคที่รวบรวมได้เวอร์ชั่นอ่อนโยนแล้ว เช่น “ไอ้จิตป่วยชอบป่วนคอมเมนต์” “คนโง่ยังไงก็โง่วันยังค่ำ” และ “ขี้อิจฉาเหมือนนางร้ายเลย” การตอบโต้ข้อนี้ขาดน้ำหนัก นอกจากจะทำให้โมโหแล้ว ก็ไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงใดให้กับบทสนทนา
- Ad Hominem หมายถึง ตอบโต้กลับโดยพุ่งเป้าที่ตัวบุคคล ไม่ให้คุณค่ากับข้อมูล สมมติเราเป็นแฟนเพลงไอดอลญี่ปุ่น แต่มีคนบอกวงนี้ไม่เก่ง เราจึงตอกหน้าให้ “เธอเป็นเพศที่สามหรือเป็นสาวขึ้นคานสินะ ถึงไม่ชอบวงของฉัน” เป็นการถกเถียงที่ค่อนข้างไร้เหตุผล แต่เห็นบ่อยที่สุดในบ้านเรา
- Responding to Tone วิจารณ์น้ำเสียงรวมทั้งวิธีนำเสนอของอีกฝ่าย โดยไม่เข้าประเด็นสำคัญ เช่น “รูปพิกเซลแตกมาก ดูไม่รู้เรื่องเลย” หรือ “ใช้ภาษาเหมือนคนไม่จบป. 4” สิ่งที่น่าทำกว่าคือ ตั้งใจหาแก่นของเรื่อง
- Contradiction ยกตัวอย่างตรงข้ามกับอีกฝ่าย แต่มีข้อมูลสนับสนุนน้อยหรืออาจไม่มีเลย เช่น เมื่อถูกตำหนิว่าแสดงบนเวทีไม่ดี แล้วเราเอาวิดีโอคลิปที่แสดงดี แต่เป็นงานแฟนมีตติ้งภายในให้ดู อีกฝ่ายอาจแย้งได้ว่า ถ้าเก่งจริงต้องเก่งทุกสื่อ ไม่ใช่ที่เฉพาะของตัวเอง การตอบโต้ด้วยตัวอย่างดังกล่าวจึงดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
- Counterargument คล้ายกับข้อที่แล้วแต่ดีกว่า เพราะเป็นการยกตัวอย่างข้อมูลและหลักฐานแบบมีเหตุผลประกอบ แต่อาจพบข้อเสียตรงเป็นต้นเหตุให้สุดท้ายถกเถียงกันคนละประเด็น อย่างพูดถึงโชว์ แต่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างสองวงที่แนวเพลงแตกต่างกัน จนถกเถียงแล้วสับสนว่า อย่างไหนเรียกเต็มที่สำหรับคนดูกันแน่
- Refutation คือ แย้งจากข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายพร้อมคำอธิบาย การถกเถียงในระดับนี้อาศัยข้อมูลมาก หรือชี้ความเป็นตัวจริงในเรื่องที่คุยกันอยู่ บางทีเราต้องมองหาจุดบอดของอีกฝ่ายจากประโยคของเขา ขีดเส้นหรือยกคำพูดนั้นมาประกอบ แล้วแก้เป็นข้อ ๆ
- Refuting the Central Point คัดค้านจากประเด็นหลักของฝ่ายตรงข้าม พร้อมชี้แจงอย่างมีเหตุผล เป็นการถกเถียงที่มีพลังที่สุด และชัดเจนปราศจากอคติ แม้ข้ออื่นที่ผ่านมาจะพอมีน้ำหนักบ้าง แต่บ้างครั้งเหมือนแค่ต้องการให้อีกฝ่ายเสียหน้า ข้อนี้เน้นจับใจความสำคัญของเรื่อง แล้วโต้แย้งตรงประเด็น
ดึงจุดแข็งที่เป็นข้อเท็จจริงมาพูด เรื่องอีโม เหยียด ประชดประชันพักไว้ก่อน ส่วนประโยคความคิดเห็น เช่น ใครสวยหรือหล่อกว่า เราคิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถกเถียงเพราะปัจเจกมาก ขึ้นอยู่กับรสนิยม และหากเจอประโยคพวก ไม่ชอบที่รักของฉัน = ผิด เช่น “ถ้าไม่ชอบก็เงียบปากไป” “แน่จริงมาร้องเองเลย” หรือแม้แต่ “พ่อแม่ไม่รักเหรอแสดงออกแบบนี้” ก็อย่าให้ราคา เก็บค่าเน็ตไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า
Tips เพิ่มเติมในการถกเถียงให้เป็นต่อ
- รู้จักควบคุมอารมณ์ ยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งเสียโอกาส เพราะอารมณ์จะพาเราพลาดประเด็นบางอย่างไป ใจเย็น ๆ อ่านที่เขาพิมพ์มาให้ละเอียด ทำความเข้าใจสักนิด อย่ามัวแต่อยากเอาชนะ
- รับฟังผู้อื่น Amy Cuddy นักจิตวิทยาเชิงสังคมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแนะนำว่า การให้คู่สนทนาพูดก่อน รวมทั้งการถามความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม นับเป็นการเรียนรู้ก่อนโต้แย้ง แล้วเมื่อเขารู้ว่ามีคนรับฟัง จะนำไปสู่ความไว้ใจเบื้องต้นได้
- สื่อสารกระชับเข้าใจง่าย ทุกสื่อโซเชี่ยลพูดยืดยาวแล้วอาจหลงประเด็น หาจุดสำคัญและอธิบายเป็นข้อ ๆ ให้จบ อย่าเอาข้อมูลมาตีกันวุ่นวาย รวมทั้งใช้คำศัพท์ยากเกินไป ฝ่ายตรงข้ามจะไม่อยากเสวนาด้วย
ที่อธิบายมาทั้งหมด สามารถนำไปใช้กับการถกเถียงทุกรูปแบบ ซึ่งไม่สำคัญหรอกว่าใครฉลาดที่สุด แต่อยู่ที่เราได้อะไรจากบทสนทนานั้น รู้มุมมองใดเพิ่มบ้าง ได้ใช้ทักษะการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถ้าเรามีหลักฐานด้อยกว่า ก็ไม่น่าอายหรอก คุ้มเสียอีกได้พัฒนาตัวเอง จูนแต่ละคนให้เข้าใจกันมากขึ้น พร้อมทั้งมองหาทางแก้ไขในอนาคต นับว่าวิน-วินทุกฝ่าย
ที่มาของข้อมูล