“พวกทาสล้วนมีธรรมชาติของความเป็นทาสอยู่ในตน
-เซเปียนส์
ขณะที่เสรีชน มีธรรมชาติความเสรีอยู่ในตน
สถานะของพวกเขาในสังคมจึงเป็นเพียงแค่สิ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดของพวกเขาเท่านั้น”
เคยคิดกันไหมว่ามันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเอามากๆ กับการที่คนไทยจำนวนมากที่โตมากับการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม และถูกกดขี่อยู่ใต้ “อำนาจนิยม” นานาในสังคม ถูกลิดรอนเสรีภาพจากรัฐบาลเผด็จการ และอยู่ใต้อำนาจสถาบันที่เป็นแกนหมุนวงจรแห่งความเป็นสังคมแห่ง “คนไม่เท่ากัน” มาตลอดชีวิตด้วยซ้ำ
แต่ก็ยังปฏิญาณตนที่จะยกชู “ความเหลื่อมล้ำ” นั้นไว้สุดชีวิต แถมยังภาคภูมิใจในการเป็นทาส ประกาศตนเป็นแค่ “ฝุ่น” ใต้บาทาของคนอื่นอย่างหน้าชื่น
อาทิ บรรดาผู้ที่ออกมาสนับสนุนความรุนแรงที่รัฐฯกระทำต่อขุมนุมของคณะราษฎร 2563 เพราะอ้างว่าเป็นผลจากการจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ในขณะที่การทำตัวเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ไม่เคยอำนวยรางวัลใดๆ ให้พวกเขา แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ม็อบกำลังเรียกร้อง ก็คือสิทธิประโยชน์ที่จะทำให้พวกเขาสามารถเป็น“คน” อย่างเท่าเทียม และพึงได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐให้สมกับภาษีเสียด้วยซ้ำ
ปรากฏการณ์เหล่านี้ ผู้เขียนนิยามว่ามันคือ “ทัศนคติทาส” คือความเป็น “ทาส” ที่ฝังอยู่ในทุกอณูจิตวิญญาณของคนไทยบางจำพวก ส่งออกมาเป็นทัศนคติ วิธีคิด การมองโลก และการยอมรับคุณค่าของตัวเอง ซึ่งนอกจากทฤษฎีอื่นๆ แล้ว เราคิดว่ามันแสดงภาพของคนไทยที่มีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตัวเองหรือ Self-esteem ต่ำมากๆ
อาจจะเพราะคนไทยโตมาในเมืองพุทธ ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าคนเราเกิดมาเท้าแตะพื้นก็บาปแล้ว จนปูเป็นฐานในใจว่าคนเราเกิดมาเป็นคนบาป ทำโน่นทำนี่ก็บาปความคิดแบบนี้แหละมันคือการโบยตีตัวเองในใจรูปแบบหนึ่ง มันคือการ “รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ” อยู่ลึกๆในใจตลอดเวลาไม่ว่าจะรู้ตัวและยอมรับหรือไม่ก็ตาม
ในทางศาสนา ความคิดแบบนี้อาจเรียกว่าความ “ถ่อมตน” แต่ในขณะเดียวกันมันคือการไม่เห็นคุณค่าตัวเอง และไม่ศรัทธาในตนเองมากกว่า และการถ่อมตัวไว้แบบนี้โดยไร้ปรีชาญาณและวิจารณญาณนั้น เมื่อไปอยู่ในสังคมที่พยายามบ่มเพาะ “อำนาจเบ็ดเสร็จ” เพื่อกดหัวมนุษย์ ด้วยการสร้างใครสักคนเพื่อให้สังคม “บูชา” ในรูปของ “เทวดาสมมติ” แน่นอนว่าเหล่าคนบาปเหล่านี้ย่อมพร้อมยกชูบุคคลนั้นขึ้นเหนือหัว และหวังเกาะชายผ้าพึ่งบารมีด้วยการศิโรราบต่ออำนาจนั้นโดยไร้ข้อกังขา
ทั้งยังโตมากับการถูกปลูกฝังให้มี “ทัศนคติทาส” อยู่แล้ว ด้วยการต้องหัดก้มหัวให้เก่ง กราบเก่ง ค้อมหลังเก่ง ต้องเคารพผู้อาวุโสไม่ว่าจะเป็นใคร มีวุฒิภาวะหรือไม่แต่แค่แก่กว่าก็ต้องฟัง ต้องยอม ห้ามตั้งคำถาม เข้าหาผู้ใหญ่ให้ได้ เลียนายให้เป็น กดอีโก้ตัวเองไว้ใต้กะลาที่ชื่อว่า “ความอ่อนน้อม” จนสุดท้ายแทบไม่เหลือศรัทธาในตัวเอง เพราะตั้งแต่เด็กที่บ้านก็ใช้เส้นฝากเข้าเรียน เรียนจบญาติๆ ก็ฝากให้เข้าทำงาน ฯลฯ ยิ่งปลูกฝังความเข้าใจว่าคนเราถ้าก้มหัว ปิดหู ปิดตาให้เป็น แล้วใช้ประโยชน์จากอำนาจนิยมในบริบทต่างๆ ด้วยการยอมศิโรราบ และสอพลออำนาจนั้น ก็ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่สบายได้ ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความสามารถหรือสร้างคุณค่าอะไรให้เหนื่อย
สุดท้ายก็ยินดีที่จะเอา “คุณค่า” ของตัวเองไปผูกไว้กับอำนาจอื่นๆ กลายเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองวนลูปแห่งอำนาจนิยมสามานย์เหล่านี้ไปเรื่อยๆมีตัวอย่างให้เห็นคือคนที่ “อยู่เป็น” เพราะต้องพึ่งพาบารมีจากผู้มีอำนาจในองค์กร หรือผู้ใหญ่ในวงการต่างๆ ฯลฯ
และการโตมากับมายาคติหลอกเด็กให้ยอมอยู่แต่ในกรงในกรอบที่จำกัดเกณฑ์ไว้ว่าผู้หญิงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ผู้ชายที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ลูกที่ดีเป็นแบบนี้ ศิษย์ที่ดีเป็นแบบนี้การเป็น “ตัวเอง” ที่ผิดแผกกับขนบสังคม ย่อมกลายเป็นตัวประหลาด เป็นกาลกิณี
ถ้าเป็นผู้หญิงแล้วไม่ทำตัวเป็นไปตามตรรลองหญิงไทยตามขนบไทยๆ เช่น ทาเล็บสีดำสีแดง ทำสีผมทั้งหัว แต่งตัวเปรี้ยวนุ่งสั้น ก็อาจจะถูกเรียกว่ากะหรี่ ฯลฯ
ซึ่งการที่แม้แต่การมีตัวตนเป็นของตัวเองยังเป็นเรื่องน่าอายนี่แหละ คือทัศนคติพื้นฐานที่ทำให้คนเราไม่สามารถเคารพคุณค่าในตัวเองได้ เมื่อใครสักคนยอมที่จะไม่ชอบตัวเองที่กำลังเรียกร้องจะได้ออกมาเป็นอิสระอยู่ข้างใน และยอมเป็นตัวเองแบบ “ไทยๆ” ตามใจสังคม ความภาคภูมิใจ และคุณค่าของตัวเองก็ไปพึ่งพาอยู่กับความ “ไทย” จนหมดแล้ว คือไม่ว่าจะต้องทนกับคุณภาพชีวิตแบบไหน หรือกลายเป็นแค่ทาสใต้เท้าใคร ถ้าสังคมบอกว่ามันคือ “ความเป็นไทย” คนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะยอมแบบไม่ตั้งคำถามต่อทั้งสิ้น
ชีวิตคนไทยรายล้อมไปด้วยหลายสิ่งอย่างที่พยายามกดความภาคภูมิใจในคุณค่าของตัวเองที่แท้จริงไว้ แล้วเอาข้อแม้ไปผูกกับมายาคติต่างๆ ตลอดเวลา ผ่านการบ่มเพาะ ปลูกฝังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นการต้องร้องเพลงอวยบารมีกษัตริย์ทุกวันในโรงเรียน ในขณะที่ห้างร้านต่างๆ ก็คอยเปิดเพลงบิ๊วให้การยอมรับความเป็น “ทาส” เป็น “ฝุ่นผง”เป็นความงดงาม ไม่ว่าจะทำบุญทำทาน ทำความดีเพื่อสังคม ก็ต้องเป็นการทำเพื่อส่งผลบุญให้กับกษัตริย์ พอได้ทำเพื่อกษัตริย์ถึงจะรู้สึกดี ไม่สามารถรู้สึกดีได้ด้วยการทำเพราะตัวเองอยากทำเพราะความมีมนุษยธรรม
พอคนเรามีความสามารถในการเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ และจะต้องพึ่งพาความไทย พึ่งพาอำนาจอภิสิทธิ์ พึ่งพาบารมีสมมติของใครอื่นเพื่อจะได้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง ก็เกิดการเสพติดกันจนขาดไม่ได้ หากมีใครมาพังความเชื่อ ว่าบารมี และความศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งสมมติเหล่านั้นไม่มีจริง ก็เปรียบเหมือนการทำลาย “อีโก้” ของคนเหล่านั้นเลยนะ จึงไม่แปลกที่สลิ่มมักจะใช้ชีวิตอยู่บนความเชื่อ และปิดรับทุกข้อมูลที่ผิดจากความยึดมั่นของตัวเอง… เพราะมันอันตรายกับ “เซลฟ์” ของพวกเขาโดยตรง
เมื่อคนเรา “เซลฟ์ต่ำ” มากๆอย่าว่าแต่การตั้งคำถาม เพื่อเบิกเนตร หรือการตอบรับการเชิญชวนให้เลิกเป็น “ทาส” เสียทีเลย แค่การมีความคิด มีจุดยืนเป็นของตัวเองก็เป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนสำหรับพวกเขาแล้ว
และผู้คนที่มี “ทัศนคติทาส” พวกนี้นี่แหละเรียกได้ว่าเป็นประชาชนคนไทยในอุดมคติของพวกรัฐเผด็จการ และสถาบันกษัตริย์ เพราะการมี Self-esteem ต่ำ ทำให้ประชาชนทาสเหล่านี้รู้สึกด้อยค่า จนคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์มีเสียงพอจะตั้งคำถามว่า “โลก/รัฐฯ ควรปฏิบัติกับฉันอย่างไร” จึงไม่เคยถามหาคุณภาพชีวิต และรัฐสวัสดิการที่ดีใดๆ มิหนำซ้ำยังคิดว่าการ “รักตัวเอง” จนสามารถเรียกร้องสิทธิมนุษยชนแบบเบื้องต้นได้เป็นความเห็นแก่ตัว ก้าวร้าว ดื้อด้าน และทำให้พวกเขารู้สึกผิด… เท่านี้ไม่ว่าจะเป็นอำนาจแบบไหนที่กดทาสพวกนี้ไว้ ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางสะเทือน
ในขณะที่ประชาชนแบบที่น่ากลัวที่สุดสำหรับขั้วอำนาจเหล่านั้น คือพวกที่รู้คุณค่าตัวเอง เคารพศักดิ์ศรีความเป็น “มนุษย์” อย่างเท่าเทียมกันของทุกคน จึงกล้าออกมาเรียกร้องเมื่อรัฐไม่ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างที่ความเป็น “ประชาชน” คู่ควรได้รับ ประชาชนที่ Self-esteem สูงจะรู้ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเป็น ที่จะคิด จะรักหรือเกลียดใครก็ได้ และมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบ…ซึ่งความกล้าที่จะเป็น “มนุษย์” แทนที่จะเป็น “ทาส”เหล่านี้แหละอันตรายที่สุด
เพราะเมื่อไม่มีผู้ที่ยอมอยู่ “ต่ำ” กว่าแล้วผู้ที่สถาปนาตัวเองให้อยู่ “สูง” กว่า ย่อมถูกดึงลงมา