“ลัทธิบูชาตัวบุคคล” สารตั้งต้นของความเป็น “ทาส” และเป็นอุปสรรคด่านสุดท้ายก่อนการ “ตื่นรู้”

“ลัทธิบูชาตัวบุคคล” สารตั้งต้นของความเป็น “ทาส” และเป็นอุปสรรคด่านสุดท้ายก่อนการ “ตื่นรู้”


ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาด วิกฤติเศรษฐกิจ ที่ฟ้องว่ารัฐบาล(เผด็จการ)ไทยไม่เคยเห็นหัวประชาชน ล้มเหลวในการขับเคลื่อนบ้านเมืองอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ชีวิตประชาชนร่วงลงทุกวันด้วยโควิด-19 ผู้คนใช้ชีวิตอย่างกลัวตาย ต้องแย่งชิงวัคซีน ชิงเตียงโรงพยาบาล สิ้นเนื้อประดาตัวเพราะพิษเศรษฐกิจ โดยที่คนไทยไม่สามารถทักท้วงอะไรได้

แต่วิกฤติขนาดนี้ ก็ยังคงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังเชียร์รัฐบาล ชื่นชมทุกการจัดการอันล้มเหลว ยอมรับแม้วัคซีนคุณภาพต่ำราคาสูงที่รัฐจัดหาให้ แม้เชื้อโรคจะจ่ออยู่ที่คอหอยแล้วก็ตาม

อีกด้านหนึ่งของฝั่งผู้ที่ประกาศกร้าวว่าถือข้างประชาธิปไตยคนเท่ากัน แต่พอดารานักร้องในดวงใจถูกสังคมในโซเชียลติเตียนข้อหาสนับสนุนเผด็จการ และเพิกเฉยต่อความไม่เป็นธรรมในบ้านเมือง ตัวเองก็พร้อมปล่อยมือจากหลักการและอุดมการณ์ เข้ามากางปีกป้องดารา

เป็นเรื่องเดียวกันกับปัญหาโลกแตกของหลายบ้าน ที่แม้คนในบ้านเริ่มยอมรับแล้วว่าประเทศไทยมีปัญหาอยู่จริงแต่พอไล่ไปถึงสารตั้งต้นแห่ง “อำนาจนิยมสามานย์” ที่หล่อเลี้ยงค่านิยมคนไม่เท่ากันในประเทศนี้ คนรุ่น boomer ขึ้นไปแทบทุกบ้านกลับเบือนหน้าหนี ไม่กล้าเอารูปลง เพียงเพราะติดความเชื่อฝังหัวอย่างไร้เงื่อนไข ว่าถึงอย่างไรท่านก็เป็น “ผู้มีบุญญาธิการ”

รูปภาพจาก : twitter.com

“ลัทธิบูชาตัวบุคคล” หรือ Cult of personality คือการที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตั้งใจสร้างภาพจำเพื่อยกชูให้ “บุคคล” ใดบุคคลหนึ่งมีภาพลักษณ์ของความดีงาม ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพบูชา อย่างปราศจากข้อสงสัย สัมพันธ์กับการใช้หลักโฆษณาชวนเชื่อผ่านการใช้สื่อ(Propaganda)ยัดข้อมูลกรอกหู และย้ำซ้ำความเชื่อที่ทำให้ผู้คนในสังคมนั้นรักและศิโรราบให้กับบุคคลผู้นั้นอย่างไร้เงื่อนไข ไร้การตั้งคำถามต่อ

ซึ่งเครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือยอดฮิตของรัฐเผด็จการ ที่ต้องการควบคุมประชาชนตั้งแต่ระบบความคิด ให้ศิโรราบต่อโมเดลอำนาจที่ตนสร้าง เห็นได้จากชาวเกาหลีเหนือ ชาวจีน หรือคนแถวนี้ ที่รักผู้นำแบบน้ำหูน้ำตาไหล ทั้งที่แม้กระทั่งสิทธิความเป็นมนุษย์เบื้องต้นของตนถูกยังถูกกดอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ

แต่สำหรับในประเทศไทยซึ่งเครื่องมือนี้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย จึงไม่ได้มีเพียงคนที่ใช้การ “บูชาตัวบุคคล” เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง แต่ยังฉวยโอกาสใช้มันเพื่อการตลาดส่วนตัวด้วย เพราะพื้นฐานคนไทยจำนวนมากมี “ทัศนคติทาส” ซึ่งพร้อมรองรับการเป็นเหยื่อการโปรโมทแบบนี้อยู่แล้ว


ฉะนั้นหากมีใครก็ตามที่พยายามจะฉายแสงออกมาในสังคมพร้อมกลิ่นอายของการเป็น “คนที่อยากถูกบูชา” นั่นแหละ…ควรเป็นคนที่ถูกตรวจสอบและตั้งคำถามมากที่สุด

วัฒนธรรมการ “บูชาตัวบุคคล” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสารตั้งต้นของ “ทัศนคติทาส” ของคนไทยเลยก็ว่าได้
เพราะเมื่อความรักชื่นชมที่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมแต่ไม่ใช้สมองประกอบ
เกิดการศิโรราบต่ออำนาจรักโดยไม่มีการตั้งคำถาม ไม่ต้องการการตรวจสอบ
พูดอะไรก็เชื่อ ทำอะไรก็ชม ก็เกิดการตกเป็น “ทาส” ไปโดยปริยาย
ขอบคุณรูปภาพจาก : posttoday

เมื่อ “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” ประสบความสำเร็จที่ใด
ที่นั่นจะหยุดพัฒนา

เพราะการหยุดพัฒนา เกิดขึ้นหลังจาก “หยุดตั้งคำถาม”…หลายคนที่หากลองได้ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหลกับการที่มีดาราออกมาวิ่งทางไกลเรี่ยไรเงิน ดาราออกมาทัวร์ตามบ้านคนแก่ ป่วย พิการ เปิดบัญชีให้คนเข้ามาลงขันทำทาน หรือยูทูปเบอร์ที่รับบท “รัฐบาลการกุศล” ควักเงินตัวเองทำงานแทนรัฐบาลแล้ว

จึงยากที่จะมองไกลออกไปจนเห็นปัญหาของรัฐบาลที่ล้มเหลว ปัญหาซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ชอบธรรมและไร้คุณภาพ และปัญหาใต้พรมอื่นๆ ที่พาสังคมไทยมาถึงจุดที่ต้องเรี่ยไรเงินดูแลกันเอง

จากที่คนไทยควรได้พากันตั้งคำถาม ทักท้วง ต่อสู้เพื่อให้คนไทยได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีที่ควรได้รับการจัดสรรจากรัฐ จนความขาดแคลนที่เป็นช่องทางการตลาดเหล่านี้หมดไป นิสัยบูชาตัวบุคคลจะทำให้คนไทยเสียเวลาและทรัพยากรไปกับการแค่ได้นั่งทำมีมอวย “ฮีโร่นักฉวยโอกาส” และสนุกกับแคมเปญสรรเสริญคนเหล่านี้ต่อไปอีกยาวนาน

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.prachachat.net/blogger-square/music-talk/news-81475

“ลัทธิบูชาตัวบุคคล” คืออุปสรรคของสังคม “คนเท่ากัน”

วัฒนธรรม “บูชาตัวบุคคล” เป็นอุปสรรคต่อการใช้ปัญญา วิจารณญาณ และยังอันตรายต่อต่อมมนุษยธรรม เกณฑ์มโนธรรม และการตื่นรู้เรื่องความเป็น “คน” ไปจนถึงการตระหนักเรื่องคุณค่าของตัวเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกณฑ์อุดมคติของการเป็น “บุคคลที่ควรบูชา” ของคนไทยมีคอนเซ็ปต์เฉพาะ คือ “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ทำให้ไม่ว่าจะเป็นอาชญากร ฆาตกร หรือจะเป็นใคร หากมีสามข้อข้างต้น ล้วนน่าบูชายกย่องทั้งสิ้น เป็นที่การันตีได้ว่าการบูชาตัวบุคคลของคนไทยนั้นอันตรายเพียงใด เพราะมันส่งผลต่อ “เกณฑ์ความชอบธรรม” ของผู้คนด้วย

เพราะความจริงคือไม่ว่าจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร นามสกุลใด มีชื่อเสียงร่ำรวยหล่อสวยปานใด หรือเก่งกาจเรื่องใดก็ตาม ทุกคนเป็นเพียง “มนุษย์” ซึ่งมีความอ่อนแอ ความเขลา ความบ้งในมุมใดมุมหนึ่งของตัวตนแตกต่างกันไปอย่างแน่นอน เพราะคนที่ทำถูกในเรื่องหนึ่ง อาจไม่ถูกทุกเรื่องเสมอไป

นอกจากการ “บูชาตัวบุคคล” อย่างหน้ามืดตามัว จนมองเห็นทุกสิ่งที่บุคคลนั้นทำเป็นเรื่องดีน่ายกย่อง มองข้ามแนวคิดแย่ๆ พฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ ไปจนถึงพยายามหาข้อแก้ต่างให้เพื่อให้หนักเป็นเบาเพื่อให้ตอบรับกับความเชื่อว่า “ตนบูชาถูกคนเสมอ” ทำให้การเรียนรู้และพัฒนาความคิด ตัวตน มุมมองของเหล่าสาวกนั้นจำกัดอยู่แค่ “ต้นแบบ” ที่เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันกับตน หรือร้ายยิ่งกว่าคือเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ที่คนบางกลุ่มปั้นขึ้นเพื่อควบคุมความคิดและจูงจมูกผู้คนอีกที

การยกชูใครสักคนว่าพิเศษกว่า ดีกว่า มีบุญกว่า สูงส่งกว่าตนและมนุษย์คนอื่น ส่วนตนนั้นเป็นแค่ผู้สนับสนุน เกาะส่วนบุญ และต้องเอาอีโก้ ความภาคภูมิใจ ความฟิน ความปริ่มเปรมใจไปฝากไว้กับคนที่พิเศษกว่าตนคือรากฐานของการเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้มีคุณค่า “เท่าเทียม” กัน และนำไปสู่การ “กด” คุณค่าของตนลงให้ต่ำกว่าใครที่ตนเชื่อว่าดีกว่า พิเศษกว่าตนเสมอ

ซึ่งไม่ได้ทำให้สาวกลัทธิบูชาตัวบุคคลเหล่านี้พร้อมที่จะเป็นเหยื่อของ “รัฐเผด็จการ” หรือการตลาดชวนเชื่อแบบหวานหมู แต่ยังสืบสาน “สันดานทาส” ที่เชื่อว่ามนุษย์บางแบบเกิดมาต้อยต่ำกว่าคนอื่นเสมอต่อไป จนรุ่นลูกหลานก็ยังหนีไม่พ้นนรกแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมที่มีคนอยากถูกบูชาอยู่เสมอ

ขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.horonumber.com

ด่านการ “บูชาตัวบุคคล” อาจเป็นด่านหินสุดท้ายก่อนคนไทยหลายคนจะสามารถ “เบิกเนตร” และตื่นรู้ขึ้นมามองเห็นความจริงของประเทศนี้ และโลกนี้ได้

เพราะตราบใดที่คนไทยยังไม่ตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีด้านที่น่าสรรเสริญ ด้านที่รอการพัฒนา และด้านที่ยังเป็นพิษภัยต่อมนุษยชาติทำให้ไม่ควรที่จะจำกัดต้นแบบความคิด ความเชื่อใดๆ ไว้เพียงเพราะคนที่เราบูชานั้นบอกว่าดี

และตราบใดที่ยังไม่ตระหนักว่าทุกคนล้วนมีคุณค่า มีสิทธิ์ มีเสียงเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่บนหิ้ง หรืออยู่ใต้สปอตไลท์หรือไม่ เป็นคนสวยหล่อ รวย เก่งหรือไม่

ก็ยากที่จะมองเห็นได้ว่า “ประชาธิปไตยคนเท่ากัน” นั้นมีจริง


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *