การปฏิเสธ “สิทธิมนุษยชน” ทั้งที่ตนก็เป็น “มนุษย์” …เกิดขึ้นได้เมื่อคนเรามั่นใจว่าตนเป็นมนุษย์ที่ดีกว่า จนได้รับอภิสิทธิ์ช่วยผู้มีอำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพคนอื่น

ความเชื่อใน “ความไม่เท่าเทียม” ทำให้เกิดการสนับสนุนให้มีการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” แทนที่จะรักษาไว้เผื่อตนเอง
มาจากความมั่นใจอย่างสุดโต่ง ว่าตนเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ในระบอบอำนาจนิยม จนไม่ต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมใดตามมาตรฐานของคนทั่วไป

คนที่มีบุคลิกแบบ “เผด็จการ” ไม่ว่าจะเชียร์ม็อบไหนก็เป็นทาสอำนาจนิยมและมนุษยธรรมมีปัญหาอยู่ดี

ไม่ว่าจะฝักใฝ่ขั้วการเมืองใด “คนเผด็จการ” มักมีโลกทัศน์เป็นสี “ขาว” และ “ดำ” แบบชัดเจน ทั้งยังโหยหา “อำนาจนิยม” เพื่อให้พวกเขายึดไว้ และใช้มันฟาดใครก็ตามที่รุกราน “อัตตา” ของพวกเขา

“วัฒนธรรมผักชีโรยหน้า”…ค่านิยม “หลอกตัวเอง” สร้างภาพลวงตาทับความเป็นจริงที่ฝังกลบความเจริญของประเทศไทยไว้จนมิด

“วัฒนธรรมผักชีโรยหน้า” พัฒนาแบบขอไปทีเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ภาพของปัญหา “วัฒนธรรมเช้าชามเย็นชาม” ที่เกิดจากคนทำงานที่ไม่เหมาะกับงาน หรือ passion ของข้าราชการไทยที่หดหายตามฐานเงินเดือนเท่านั้น
แต่แท้ที่จริงคือการ “หลอกตัวเอง” อย่างตั้งใจไปพร้อมๆ กับ “หลอกสังคม” เพื่อสร้างภาพลวงตาเข้าข้างตัวเองร่วมกันด้วย

มนุษย์ “ขี้เหยียด” เพราะ “ความรู้สึกไม่มั่นคง” ในตัวเอง…เพียง “ความแตกต่าง” จึงกลายเป็นภัยของเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะในสังคมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขาดแคลนจนกลัวถูกแย่งทรัพยากร

พฤติกรรมการ “เหยียด” นี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมาจาก “ความรู้สึกไม่มั่นคง” ทั้งต่อสังคมที่อยู่ และรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง
จึงไม่แปลกที่คนต่างจังหวัดที่พากันเข้ามาหางานทำในเมืองหลวงกลายเป็นกลุ่มที่ถูกดูแคลนที่สุด ด้วยความรู้สึกกลัวว่าทรัพยากรและโอกาสที่มีจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่ง “ไม่พอ” เข้าไปอีก

การเป็นมิตรกับ “ความตาย” ทำให้มนุษย์ดื่มด่ำกับชีวิตได้มากกว่าและมีมนุษยธรรมมากกว่า…ในขณะที่“ความกลัวตาย”บั่นทอนความมีเมตตา และทำให้มนุษย์โหยหาอำนาจเผด็จการ

มนุษย์ที่ได้ขบคิดเรื่องความตาย รู้สึกว่าความตายนั้นใกล้ตัวจนรู้สึกกลัว มีแนวโน้มตัดสินสิ่งต่างๆ โดยสนับสนุนอุดมคติเกี่ยวกับความหมายของชีวิตแบบที่พวกเขาเชื่อ เพื่อทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง แม้ว่า “อุดมคติ” เหล่านั้นจะขัดกับหลักมนุษยธรรม ขัดขวางเสรีภาพของผู้อื่น หรือต้องห้ำหั่นกับเพื่อนมนุษย์ที่มีแนวคิดต่างจากตนก็ตาม

“เผด็จการความศรัทธา”มาพร้อมกับอำนาจนิยม…เพราะประเทศนี้อุดมไปด้วยศาสนิกคลั่งอัตตาและคลั่งอำนาจ แม้แต่สิทธิการ “กราบ” จึงถูกจำกัด

หากคนไทยตระหนักเรื่อง “สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล” ได้อย่างแท้จริง คงสามารถเข้าใจได้ง่ายว่าเรื่องของ “ศรัทธา” มีเพียงการตระหนักว่า ใครใคร่ “กราบ” ก็กราบ ใครใคร่เชื่อก็เชื่อไป และไม่ควรมีใครมาวุ่นวายกับคนไม่กราบ หรือคนที่เลือกกราบสิ่งอื่นเท่านั้นเอง

“ความดีย์” ของเธออาจไม่ใช่ความดีแบบของฉัน… ไม่แปลกที่“ไม้บรรทัดความดี”ของมนุษย์ต่างกัน แต่ความสามานย์คือรัฐที่จำกัดเงื่อนไขความดีเป็นกฎหมายเพื่อลิดรอนทางเลือกอื่น

การที่ “เกณฑ์ศีลธรรมในอุดมคติ” ส่งผลต่อทัศนคติทางการเมืองของมนุษย์ต่างกันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความสามานย์คือการที่บางประเทศมี “ระบอบเผด็จการ” กีดกันไม่ให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกใช้ชีวิตตามเกณฑ์ความดีของพวกเขา

Don’t kill me with your Ego. สิ่งที่ทำลายอนาคตของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง คือ “อีโก้” สูงลิ่ว และ “ภาพลวงตาเชิงบวก” ของคนรุ่นก่อนที่ไม่ยอมปล่อยมือจากอำนาจในการควบคุมโลก

ความจริงแล้วมนุษย์ทุกคนสามารถตกอยู่ในความยึดติด “ภาพลวงตาเชิงบวก” ของตัวเองได้ทั้งนั้น
แต่อันตรายคือการที่ภาพลวงตาจากอีโก้อันสูงลิ่วของคนไม่กี่คน มีผลต่อความเป็นความตาย และคุณภาพชีวิตของคนหมู่มาก โดยเฉพาะหากในสังคมนั้นไม่มีระบบคอยคานอำนาจ หรือตรวจสอบไม่ให้ “อีโก้” เหล่านี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ

ไม่แปลกที่สังคมอุดม “อำนาจนิยม” จะเต็มไปด้วย “พ่อแม่ที่เป็นพิษ” และค่านิยม normalize การทารุณกรรมเด็ก…เพราะคนที่ถูกเลี้ยงมาด้วย “ความกลัว” ย่อมป้อนสิ่งเดียวกันต่อคนรุ่นถัดไป

เหยื่อของพ่อแม่เป็นพิษที่เลี้ยงดูลูกด้วยความกลัว เมื่อโตขึ้นกลายเป็นพ่อแม่คน เป็นครูสอนนักเรียน เป็นผู้กำหนดหลักสูตรการศึกษา เป็นรัฐมนตรีที่ดูแลการศึกษาและเยาวชน เป็นผู้นำประเทศ ฯลฯ
จึงส่งต่อ “วิธีสร้างคน” แบบที่เคยสร้างพวกเขามาไปยังรุ่นถัดไป

ไม่แปลกที่ “เผด็จการ”จะกีดกันแม้กระทั่งเรื่อง “Sex” …เพราะการเข้าถึงพลังงานทางเพศ ช่วยบูสต์ความเคารพคุณค่าในตนเอง และปลดปล่อยจากความเป็น “ทาส”

การจำกัดและกีดกันเรื่อง “Sex” ของสังคมเผด็จการ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง “การบรรลุธรรมะ” หรือ “ศีลธรรมอันดี” ใด ๆ อย่างที่อ้าง หากแต่เป็นเรื่องของการปลูกฝังให้คนเคยชินกับการถูกจำกัด “สิทธิเสรีภาพ” แม้แต่เรื่องพื้นฐานเช่น “ความสุขทางเพศ” ต่างหาก

1 2 3 11