ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวแบบชาว “ด้อม” ที่รักคนๆ เดียวกันทำให้ฮอร์โมน“Oxytocin” ที่เรียกกันบ่อยว่า “ฮอร์โมนแห่งรัก” ที่หลั่งออกมายามมนุษย์มีความผูกพันอบอุ่นต่อกันนั้นหลั่งออกมา ซึ่งนอกจากช่วยให้มนุษย์ปลอดภัยจากความอยากตายแล้ว ในอีกด้านหนึ่งมันยังสร้างสัญชาติญาณในการต่อสู้กับ “ศัตรู” ที่ทำให้รู้สึกว่าเผ่าของตนไม่ปลอดภัยอีกด้วย
หมวดหมู่: Our Thoughts
ทำไมเราจึงหลงรักตัวละคร “วายร้าย” ? …ผู้ที่โอบกอด “ด้านมืด”(Shadow self) ของตัวเองได้ ไม่อันตรายเท่าผู้ที่ป่าวประกาศว่าตนคือ “คนดีย์”
การมอง “Shadow self” ของตัวเราเองผ่านตัวละคร “วายร้าย” จะเรียกว่าเป็น Self love ก็ได้ เพราะหากเราสามารถเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจวายร้ายเหล่านั้นได้ ก็แปลว่าเราสามารถเข้าใจ “ด้านเงา” ของเราเองด้วย
พลังความกร่างของสาวก “อำนาจนิยม” ไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่คือ “นิสัยขี้กลัว” แบบหมาดุติดบ้าน… ที่กลัวแม้กระทั่งการมี “เสรีภาพ”
ในขณะที่ “กองทัพคนดีย์” พิทักษ์อำนาจนิยมเหล่านี้คิดว่าตนเป็นเหล่าผู้กล้าหาญ ความจริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงหมาที่เผด็จการปลูกฝัง “นิสัยขี้กลัว” ให้จนกลายเป็นหมาดุ
จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน รัฐสวัสดิการไม่ใช่พ่อแม่รังแกฉัน แต่เป็นหลักประกันให้เดินตามฝันอย่างมั่นใจ
หลายคนชอบดูถูกถากถางว่าถ้าเมืองไทยเป็นรัฐสวัสดิการ เช่น มีการแจก Universal Basic Income ให้ประชาชนทุกคนอย่างถ้วนหน้า ประชาชนจะขี้เกียจ ไม่ทำงานทำงาน เอาเงินที่รัฐแจกไปลงกับ สุรา นารี และการพนันไปเสียหมด บ้างก็เปรียบเทียบว่า รัฐสวัสดิการเหมือนพ่อแม่รังแกฉัน ที่ตามใจลูกจนเสียคน
เพราะโตมากับการถูกกดขี่ คนในยุคนี้จึงไม่ทนอีกต่อไป… บาดแผลจากความไม่เป็นธรรมในวัยเด็ก และการจัดการกับบาดแผลนั้น ส่งผลต่อทัศนคติทางการเมืองและระดับมนุษยธรรมของมนุษย์
เด็กที่ถูกกดขี่มาตลอดชีวิตจนเซนซิทีฟกับ “ความไม่เป็นธรรม” เป็นพิเศษ
กำลังทวงคืนความเป็นธรรม และชดใช้ให้ตัวเองในรูปแบบที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่เคยกล้าหาญพอจะทำ
จิตวิทยาของ “หมารับใช้” เผด็จการ… แค่ทำตามนายสั่ง หรือมองเห็นประโยชน์ของ “อำนาจนิยม” อันหอมหวาน
มนุษย์มีแนวโน้มกล้าที่จะทำร้ายผู้อื่นจนอาจถึงแก่ชีวิต โดยเพียงแค่เพราะคนที่อยู่ในสถานะมีอำนาจกว่า “บอกให้ทำได้”
และแท้จริงแล้วผู้คนไม่ได้ชั่วร้ายมากขึ้นเมื่อมี “อำนาจ” อยู่ในมือ แต่อำนาจทำให้พวกเขาเผยสันดานดิบออกมาได้อย่างสบายๆ มากขึ้นต่างหาก
ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งอภิสิทธิชน
คิดๆ ดูแล้ว เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องการจัดสรรวัคซีนเพื่อ VVIP หรือการสร้างเกณฑ์ยุ่งยากให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการรับวัคซีน mRNA มันก็เป็นปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ฝังลึกในสังคมไทยมานาน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการบูชา “อภิสิทธิ” ที่เราเห็นจนชินตานั่นแหละ
ตีเช็คเปล่าให้ควาย หวังร่วมรัฐบาลแห่งชาติ?
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการงบประมาณ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกจากทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ได้ทำการพิจารณางบประมาณที่ตัดลดจากหน่วยงานต่าง ๆ มูลค่าประมาณ 16000 ล้านบาท ว่าจะนำไปใช้เพื่ออะไร
มายเซ็ต “บ้าความสำเร็จ” แบบไลฟ์โค้ชไทยทำลายสังคมได้มากกว่าที่คิด เพราะแก่นคือการส่งเสริมให้คนฉกฉวยผลประโยชน์จากความเหลื่อมล้ำ และมองข้ามปัญหาเชิงระบบ
ในขณะที่ไลฟ์โค้ชเหล่านี้พร่ำสอนเรื่อง “กฎแรงดึงดูด” ที่จำเป็นต้องเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองและโลกได้โดยเริ่มต้นจาก “ความคิด” แต่กลับสอนให้ผู้คนดูถูกพลังของตัวเอง ไม่ให้เชื่อว่าเสียงของทุกคนนั้นมีคุณค่าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม
จงมอบ Pfizer แก่บุคลากรด่านหน้า โดยปราศจากเงื่อนไข
เมื่อวานนี้ (30 กค. 64) ประเทศไทยได้รับมอบวัคซีน mRNA ยี่ห้อ Pfizer จากการบริจาคของประเทศอเมริกาเรียบร้อยแล้ว โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข นาย อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นผู้ไปเสนอหน้ารับวัคซีน ที่ภาคประชาชนชาวไทยเป็นผู้ประสานงานจนได้รับการบริจาคมาในที่สุด