เคยเห็นกันอีกใช่ไหมว่า คนบางคนที่พูดบางเรื่องอย่างมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองรู้ดีที่สุดในสามโลก พอโดนแย้งกลับใช้เสียงดังเข้าข่ม ประหนึ่งมีกฎการการเถียงไว้ว่า “ใครเสียงดังกว่าเป็นผู้ชนะ” หรือ “ใครพูดคนสุดท้ายชนะ” ไปเสียได้ “ภัยความมั่น” เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทางจิตวิทยามีคำตอบ
หมวดหมู่: Our Thoughts
จดหมายเปิดผนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่ช่วยทหารปล้นอำนาจไปจากประชาชน
ในช่วงเลือกตั้งเมื่อปี 62 ประกาศจุดยืนว่า “ไม่เอาประยุทธ์เป็นนายก ขัดอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์” แต่เมื่อถึงวันที่ต้องลงคะแนนเสียงเลือกนายก สส.จากพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนกลับลงคะแนนโหวตให้ประยุทธ์เป็นนายก นี่ถือเป็นการตระบัดสัตย์และเหยียดหยามประชาชนชาวไทยผู้ลงคะแนนเสียงให้แก่ท่าน ผมอยากถามว่าท่านยังมีศักดิ์ศรีความเป็นนักการเมืองผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอยู่หรือไม่ ?
“วัฒนธรรมเช้าชามเย็นชาม” Normalize การทำทุกสิ่งด้วยมาตรฐานขั้นต่ำสุดจนคนไทย “ทน” ได้แม้กับคุณภาพชีวิตมาตรฐานขั้นต่ำสุด
ในฐานะผู้ใช้บริการที่จ่ายเงินเพื่อซื้อการบริการ หรือทั้งในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีจ้างรัฐบาลมาขับเคลื่อนประเทศ เราทุกคนคู่ควรได้รับคุณภาพชีวิตใน “มาตรฐานที่ดีพอ” โดยไม่ต้องกัดฟันทน
ด่ารัฐบาล ไม่เท่ากับ เลิกเป็นสลิ่ม ถ้ายังติดกับดักอำนาจนิยม ลองเช็คตัวเองกับ 5 คำถามนี้ดู
แค่การออกมาตำหนิรัฐบาล จะถือว่าคนๆนั้น หลุดพ้นจากการเป็นสลิ่มแล้ว ถามจริงว่ามันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ เราก็เลยมีคำถาม checklist เบื้องต้นมาให้ดูกันว่าเรามีแนวโน้มจะเป็นสลิ่มหรือไม่ ลองทดสอบกันเลย
เราจะไม่ลืมพรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยทหารปล้นอำนาจไปจากประชาชน
คุณเชื่อหรือไม่ครับว่าประเทศไทย เคยได้รับคาดว่าจะมีความเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มที่ทัดเทียมกับสิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี และ ฮ่องกง ในฐานะประเทศที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
สงบปากสงบคำ ไม่เท่ากับ สงบสุข อย่าใช้คำว่ารู้รักสามัคคี มาปิดปากใครไม่ให้พูด
ประเทศที่สื่อเขียนเชียร์รัฐบาลตัวเองกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่ใช่ประเทศที่ผู้บริหารทำงานได้สมบูรณ์แบบ แต่เป็นประเทศที่รัฐบาลปิดปากสื่อได้สนิทด้วยอำนาจมืด ประเทศที่คนคิดไปในทิศทางเดียวกันหมด ไม่ใช่ความสามัคคี แต่มันมาพร้อมกับการศึกษาที่ล้างสมอง และวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่กดทับไม่ให้คนบางคนได้พูด เสียงที่ออกมาได้คือเสียงที่ไม่ขัดต่ออำนาจรัฐเท่านั้น
เตียงไม่พอหรือหมอสารเลว หมอไล่ผู้ป่วยอาการหนักกลับบ้านได้หรือไม่?
ช่วงนี้มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจครับ เรื่องที่แพทย์เชิญคุณณวัฒน์ อิสรไกรศีลให้หยุดรักษาอาการโควิดและให้กลับบ้านไปดูแลตัวเอง
สารตั้งต้นแห่งความเป็นทาส “อำนาจนิยม” ทำร้ายเราอย่างไร
สิ่งหนึ่งที่แนวคิด “อำนาจนิยม” ทำร้ายสังคมไทย คือการกดหัวให้คนหงอกับผู้มีอำนาจเหนือกว่า และกร่างกับคนที่มีอำนาจเท่ากันหรือด้อยอำนาจมากกว่าแทน เพื่อชดเชยกับการที่ตัวเองโดนคนมีอำนาจเหนือกว่ากดหัว
“จักรวาลแห่งความขาดแคลน” จากระบบจิตสำนึกวิบัติ ตัวการดึงดูดความฉิบหายมารวมไว้ที่ประเทศไทย
“ผู้นำกาลกิณี+กลียุค” ในวันนี้ อาจคือผลพวงแห่งการดึงดูดทั้งหมดที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
เพราะจักรวาลกำลังจัดสรรแพ็คเกจ “ความฉิบหาย” แบบ extreme ที่สุดเท่าที่จะสรรหามาให้ได้ คือการได้มีผู้นำที่ชั่วที่สุด ทำให้คนไทยจนที่สุด ท่ามกลางวิกฤติที่สุด เพื่อให้คนไทยได้บรรลุถึงจุดที่ขาดแคลนที่สุด จนสมใจคนไทยผู้เป็นเจ้าของ “จักรวาลแห่งความขาดแคลน”
“ลัทธิบูชาตัวบุคคล” สารตั้งต้นของความเป็น “ทาส” และเป็นอุปสรรคด่านสุดท้ายก่อนการ “ตื่นรู้”
วัฒนธรรมการ “บูชาตัวบุคคล” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสารตั้งต้นของ “ทัศนคติทาส” ของคนไทยเลยก็ว่าได้
เพราะเมื่อความรักชื่นชมที่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมแต่ไม่ใช้สมองประกอบ
เกิดการศิโรราบต่ออำนาจรักโดยไม่มีการตั้งคำถาม ไม่ต้องการการตรวจสอบ
พูดอะไรก็เชื่อ ทำอะไรก็ชม ก็เกิดการตกเป็น “ทาส” ไปโดยปริยาย