ไม่แปลกที่ “เผด็จการ”จะกีดกันแม้กระทั่งเรื่อง “Sex” …เพราะการเข้าถึงพลังงานทางเพศ ช่วยบูสต์ความเคารพคุณค่าในตนเอง และปลดปล่อยจากความเป็น “ทาส”

การจำกัดและกีดกันเรื่อง “Sex” ของสังคมเผด็จการ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง “การบรรลุธรรมะ” หรือ “ศีลธรรมอันดี” ใด ๆ อย่างที่อ้าง หากแต่เป็นเรื่องของการปลูกฝังให้คนเคยชินกับการถูกจำกัด “สิทธิเสรีภาพ” แม้แต่เรื่องพื้นฐานเช่น “ความสุขทางเพศ” ต่างหาก

จิตวิทยาแห่งการเป็น “ติ่ง” …รักแบบมีสติจะได้แรงบันดาลใจ และความตระหนักใน “ประชาธิปไตย” แต่ถ้าคลั่งมากไปต่อม “มนุษยธรรม” ก็ถูกปิดใช้งานได้เหมือนกัน

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวแบบชาว “ด้อม” ที่รักคนๆ เดียวกันทำให้ฮอร์โมน“Oxytocin” ที่เรียกกันบ่อยว่า “ฮอร์โมนแห่งรัก” ที่หลั่งออกมายามมนุษย์มีความผูกพันอบอุ่นต่อกันนั้นหลั่งออกมา ซึ่งนอกจากช่วยให้มนุษย์ปลอดภัยจากความอยากตายแล้ว ในอีกด้านหนึ่งมันยังสร้างสัญชาติญาณในการต่อสู้กับ “ศัตรู” ที่ทำให้รู้สึกว่าเผ่าของตนไม่ปลอดภัยอีกด้วย

ทำไมเราจึงหลงรักตัวละคร “วายร้าย” ? …ผู้ที่โอบกอด “ด้านมืด”(Shadow self) ของตัวเองได้ ไม่อันตรายเท่าผู้ที่ป่าวประกาศว่าตนคือ “คนดีย์”

การมอง “Shadow self” ของตัวเราเองผ่านตัวละคร “วายร้าย” จะเรียกว่าเป็น Self love ก็ได้ เพราะหากเราสามารถเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจวายร้ายเหล่านั้นได้ ก็แปลว่าเราสามารถเข้าใจ “ด้านเงา” ของเราเองด้วย

พลังความกร่างของสาวก “อำนาจนิยม” ไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่คือ “นิสัยขี้กลัว” แบบหมาดุติดบ้าน… ที่กลัวแม้กระทั่งการมี “เสรีภาพ”

ในขณะที่ “กองทัพคนดีย์” พิทักษ์อำนาจนิยมเหล่านี้คิดว่าตนเป็นเหล่าผู้กล้าหาญ ความจริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงหมาที่เผด็จการปลูกฝัง “นิสัยขี้กลัว” ให้จนกลายเป็นหมาดุ

ชวนดูซีรีส์ “Young Royals” เมื่อมกุฏราชกุมารแห่งสวีเดนต้องมาเรียนไฮสคูลร่วมกับสามัญชน… คนที่ไม่อยากให้สังคม “เท่าเทียม” คือพวกที่อยากฉกฉวยผลประโยชน์จากช่องโหว่แห่งความเหลื่อมล้ำ

ทัศนคติแห่งความเสมอภาคที่มาจากการได้รับการสนับสนุนดูแลจากรับอย่างเท่าเทียม จนเกิดการตระหนักถึงความเสมอภาคที่จับต้องได้ของชาวสวีเดน จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสปอยล์ลูกคนรวย แม้แต่ลูกกษัตริย์ก็ตาม และจะไม่สอนให้ลูกตัวเองศิโรราบให้กับอำนาจนิยมที่แสนไร้ประโยชน์ในสังคมที่ความเท่าเทียมและความเป็นธรรมไม่ได้มีราคาแพง

จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน รัฐสวัสดิการไม่ใช่พ่อแม่รังแกฉัน แต่เป็นหลักประกันให้เดินตามฝันอย่างมั่นใจ

หลายคนชอบดูถูกถากถางว่าถ้าเมืองไทยเป็นรัฐสวัสดิการ เช่น มีการแจก Universal Basic Income ให้ประชาชนทุกคนอย่างถ้วนหน้า ประชาชนจะขี้เกียจ ไม่ทำงานทำงาน เอาเงินที่รัฐแจกไปลงกับ สุรา นารี และการพนันไปเสียหมด บ้างก็เปรียบเทียบว่า รัฐสวัสดิการเหมือนพ่อแม่รังแกฉัน ที่ตามใจลูกจนเสียคน

ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า รู้ประวัติศาสตร์ ไม่เท่ากับ รักชาติ ตามที่เขาหลอกลวง

สิ่งหนึ่งที่เรางงมาตลอดคือ การได้ยินคนรุ่น Boomer, Gen X และ Gen Y (บางคน) พูดเสมอๆว่าเด็กสมัยนี้ไม่ใส่ใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย เลยไม่มีจิตสำนึกรักชาติบ้านเมือ เหมือนคนรุ่นพวกเขาเรางงว่าการศึกษาเรื่องราวในอดีตมันเกี่ยวอะไรกับความรักชาติด้วย?

เพราะโตมากับการถูกกดขี่ คนในยุคนี้จึงไม่ทนอีกต่อไป… บาดแผลจากความไม่เป็นธรรมในวัยเด็ก และการจัดการกับบาดแผลนั้น ส่งผลต่อทัศนคติทางการเมืองและระดับมนุษยธรรมของมนุษย์

เด็กที่ถูกกดขี่มาตลอดชีวิตจนเซนซิทีฟกับ “ความไม่เป็นธรรม” เป็นพิเศษ
กำลังทวงคืนความเป็นธรรม และชดใช้ให้ตัวเองในรูปแบบที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่เคยกล้าหาญพอจะทำ

จิตวิทยาของ “หมารับใช้” เผด็จการ… แค่ทำตามนายสั่ง หรือมองเห็นประโยชน์ของ “อำนาจนิยม” อันหอมหวาน

มนุษย์มีแนวโน้มกล้าที่จะทำร้ายผู้อื่นจนอาจถึงแก่ชีวิต โดยเพียงแค่เพราะคนที่อยู่ในสถานะมีอำนาจกว่า “บอกให้ทำได้”
และแท้จริงแล้วผู้คนไม่ได้ชั่วร้ายมากขึ้นเมื่อมี “อำนาจ” อยู่ในมือ แต่อำนาจทำให้พวกเขาเผยสันดานดิบออกมาได้อย่างสบายๆ มากขึ้นต่างหาก

ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งอภิสิทธิชน

คิดๆ ดูแล้ว เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องการจัดสรรวัคซีนเพื่อ VVIP หรือการสร้างเกณฑ์ยุ่งยากให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการรับวัคซีน mRNA มันก็เป็นปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ฝังลึกในสังคมไทยมานาน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการบูชา “อภิสิทธิ” ที่เราเห็นจนชินตานั่นแหละ